วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2551

MV เพลง Umbrella - Rihana






Jay-Z]Ahuh Ahuh (Yea Rihanna)Ahuh Ahuh (Good girl gone bad)Ahuh Ahuh (Take three... Action)Ahuh Ahuh

No clouds in my storms Let it rain, I hydroplane in the bank Coming down with the Dow JonesWhen the clouds come we gone, we Rocafella We fly higher than weather And G5's are better, You know me,an anticipation, for precipitation. Stacked chips for the rainy day Jay, Rain Man is back with little Ms. Sunshine Rihanna where you at?

[Rihanna]You have my heart And we'll never be worlds apart May be in magazines But you'll still be my star Baby cause in the dark You can't see shiny cars And that's when you need me there With you I'll always share Because


[Chorus] When the sun shines, we'll shine together Told you I'll be here forever Said I'll always be a friend Took an oath I'ma stick it out till the end Now that it's raining more than ever Know that we'll still have each other You can stand under my umbrella You can stand under my umbrella(Ella ella eh eh eh) Under my umbrella(Ella ella eh eh eh) Under my umbrella(Ella ella eh eh eh) Under my umbrella(Ella ella eh eh eh eh eh eh)

These fancy things, will never come in between You're part of my entity, here for Infinity When the war has took it's part When the world has dealt it's cards If the hand is hard, together we'll mend your heart Because

Chorus] When the sun shines, we'll shine togetherTold you I'll be here forever Said I'll always be a friend Took an oath I'ma stick it out till the end Now that it's raining more than ever Know that we'll still have each other You can stand under my umbrella You can stand under my umbrella(Ella ella eh eh eh)Under my umbrella(Ella ella eh eh eh) Under my umbrella(Ella ella eh eh eh) Under my umbrella(Ella ella eh eh eh eh eh eh)

You can run into my arms It's okay don't be alarmed Come into me There's no distance in between our love So go on and let the rain pour I'll be all you need and more Because

[Chorus]When the sun shines, we'll shine togetherTold you I'll be here foreverSaid I'll always be a friendTook an oath I'ma stick it out till the end Now that it's raining more than ever Know that we'll still have each other You can stand under my umbrella You can stand under my umbrella(Ella ella eh eh eh) Under my umbrella(Ella ella eh eh eh) Under my umbrella(Ella ella eh eh eh)Under my umbrella(Ella ella eh eh eh eh eh eh)

It's rainingOoh baby it's raining Baby come into me Come into meIt's raining Oh baby it's raining

ศัพท์ “ฝรั่งเศส” มาจากไหน?

ในขณะที่ “เปิดเลนส์ส่องโลก” แพร่ภาพตอนสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี และออสเตรีย ก็มีผู้อ่านท่านที่เคารพเมื่อพบปะนิติภูมิก็สนทนากันแต่เรื่องของยุโรป ผู้อ่านท่านหนึ่งสงสัยว่า “ฝรั่งเศส” หรือ “France” คำนี้รากดั้งเดิมมาจากศัพท์คำใด?

ขอตอบว่า France ฟรานซ์ มาจาก Frank แฟรงค์ ซึ่งพวกนี้เป็นบรรพบุรุษกลุ่มหนึ่งของคนฝรั่งเศสในปัจจุบัน คนฝรั่งเศสมี 58 ล้านคน ส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากพวกเคลต์ และละติน อีกพวกหนึ่งก็แฟรงค์นี่แหละ

ขออนุญาตพาท่านผู้อ่านย้อนหลังไปในยุโรปสมัยก่อน ย้อนไปจนถึงในสมัยจักรวรรดิโรมัน ตอนนั้นฝรั่งเศสเป็นเพียงมณฑลหนึ่งของจักรวรรดิ ภายหลังก็โดน พวกแฟรงค์ ซึ่งเป็นคนป่าบุกเข้าไปยึดครอง


ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีขนาดเท่ากับไทย ตั้งอยู่ทางตะวันตกของทวีปยุโรป ตอนเหนือติดลักเซมเบิร์กกับเบลเยียม ทางตะวันตกติดมหาสมุทรแอตแลนติก ทิศใต้ติดสเปนและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทิศตะวันออกติดอิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ และก็เยอรมนี


ผู้อ่านหลายท่านคงนึกไม่ถึงนะครับ ว่าพื้นที่ในฝรั่งเศสเพียงครึ่งหนึ่งเป็นที่ราบทางตะวันออก มีเทือกเขาแอลป์เป็นพรมแดนธรรมชาติ แอลป์ในฝรั่งเศสนี่ละครับ เป็นที่ตั้งของยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรปตะวันตก คือเทือกเขามงบลอง ที่สูงถึง 4,730 เมตร


หลายท่านมักจะดูถูกประเทศเอเชียและแอฟริกา ว่าประเทศเล็กนิดเดียว แต่ดันมีภาษาพูดตั้ง 4–5 ภาษา ชาติเหล่านี้จะมีเอกภาพได้ยังไง? อยากจะเรียนว่า ไม่ใช่เฉพาะประเทศทางเอเชียกับแอฟริกาดอกหรอกครับ ประเทศฝรั่งเศสที่เคยเป็นมหาอำนาจชาติใหญ่ ที่เคยบังคับผู้คนในหลายทวีปพูดภาษาฝรั่งเศสนี่แหละ ก็เที่ยวไปบังคับชาติอื่นให้เลิกภาษาท้องถิ่น ทั้งๆที่ในชาติของตัวเองก็ยังมีพลเมืองพูดภาษาถิ่น อย่างในแคว้นบริตตานี คนฝรั่งเศสที่นั่นพูดภาษาเบรอตอง ท่านลองตระเวนไปทางตะวันตกเฉียงใต้ซีครับ ตรงนั้นจะมีเทือกเขาพิเรนีสที่เป็นพรมแดนธรรมชาติกั้นระหว่างสเปนกับฝรั่งเศส คนฝรั่งเศสตามเทือกเขาพิเรนีสพูดภาษาบาสก์กับภาษากาตาลัน

ในแคว้นโปรวองซ์ ผู้คนท้องถิ่นก็พูดภาษาโปรวองซัล คนในแคว้นเฟลนเดอร์ส พูดภาษาเฟลมิช และในแคว้นอัลซาซลอแรน พลเมืองฝรั่งเศสแท้ๆ แฮ่ๆ แต่กลับพูดภาษาเยอรมัน


เรื่องต้นกำเนิดของคนยุโรป ก็มีผู้คนสนใจกันเยอะ ว่าเอ๊ะ แท้จริงแล้วพวกอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ฯลฯ บรรพบุรุษของคนพวกนี้มาจากไหนกันแน่ วันนี้มาว่ากันเฉพาะฝรั่งเศสก่อนก็แล้วกันครับ อยากจะเรียนว่า ร่องรอยทางโบราณคดีในดินแดนฝรั่งเศสเนี่ย มีร่องรอยย้อนหลังไปได้ไกลถึงแสนปีทีเดียว มีภาพเขียนตามถ้ำจำนวนมากที่พิสูจน์ได้ว่า เขียนในยุคหิน

ถามว่าใครคือบรรพบุรุษแท้จริงของคนฝรั่งเศส ก็ต้องบอกว่า มนุษย์พันธุ์หนึ่ง ซึ่งชอบรบและเลี้ยงแกะอยู่แถวเทือกเขาแอลไพน์ พวกนี้นี่แหละครับ ภายหลังอพยพจากแอลไพน์เข้ามาในดินแดนฝรั่งเศส ต่อมาพวกกอล ซึ่งเป็นคนเผ่าเคลต์ก็เข้ามารุกราน และก็เริ่มมีอิทธิพลเหนือคนพันธุ์อื่น พวกกอลตั้งบ้านเรือนอยู่ทั่วไปในดินแดนที่ปัจจุบันเป็นประเทศฝรั่งเศส เบลเยียม เยอรมนี และอิตาลีตอนเหนือ แถว 4 ประเทศนี่ในสมัยโบราณก็จึงมีชื่อว่า “กอล” ไปด้วย


ต่อข้อถามที่ว่า คนฝรั่งเศสเริ่มนับถือศาสนากันเมื่อใดและอย่างไร? ขออนุญาตเรียนอย่างนี้ครับ เมื่อ 700 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะประสูติ มีคนกรีกเข้ามาตั้งอาณานิคมที่มัสซิเลีย (ปัจจุบันคือเมืองมาร์เซย์) 121 ปี ก่อนคริสต์ศักราช แม่ทัพโรมันที่มีนามว่า จูเลียส ซีซาร์ เข้ามายึดกอลได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดทั้งหมด และก็ตั้งศูนย์การบริหารไว้ที่เมืองลุกดูนัม (ปัจจุบันชื่อว่าเมืองลียง)


ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 5 อาณาจักรโรมันเสื่อม คนป่าเผ่าเยอรมันก็ตีกอล เมื่ออาณาจักรโรมันเจ๊งเมื่อ ค.ศ.476 พระเจ้าคลอวิสที่ 1 ผู้นำของแฟรงค์ (ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของชนเผ่าเยอรมัน) เป็นใหญ่ในกอล และแต่งงานกับเจ้าหญิงแห่งเบอร์กันดี พระองค์หันมานับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เมื่อ ค.ศ.496 จากนั้นก็บังคับให้พวกแฟรงค์ทั้งหลายหันมานับถือศาสนาคริสต์ด้วย


พระเยซูคริสต์ประสูติแล้วถึง 496 ปี พวกแฟรงค์ก็จึงถึงหันมานับถือศาสนาคริสต์

นี่แหละครับ ประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งของฝรั่งเศส

ขอขอบคุณ คุณนิติภูมิ นวรัตน์

ร่วมน้อมรำลึกและไว้อาลัยสมเด็จพระพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์


พระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (ประสูติ 6
พฤษภาคม พ.ศ. 2466 ณ กรุงลอนดอน) เป็นสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอา

นันทมหิดล และ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิ

วัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นพระธิดาพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดช

วิกรม พระบรมราชชนก (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์)

พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๕ และสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า)และสมเด็จ

พระศรีนครินทราบรมราชชนนี (หม่อมสังวาลย์ มหิดล)พระประสูติกาลเมื่อแรกประสูติ ดำรงพระอิสริยยศเป็น

หม่อมเจ้าหญิงกัลยาณิวัฒนา มหิดล (พระนามพระราชทานพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)

สถาปนาเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากัลยาณิวัฒนา โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวสถาปนา

เป็น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา โดยคณะผู้สำเร็จราชการในพระปรมาภิไธยพระบาท

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทรงกรมเป็น กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โดยพระบาทสมเด็จพระ

เจ้าอยู่หัว (ทรงเป็นพระราชวงศ์ฝ่ายในที่ทรงกรมเป็นพระองค์แรกและพระองค์เดียวในรัชกาล และเป็นพระ

ราชวงศ์ทรงกรมพระองค์เดียวในปัจจุบัน)เมื่อพระชนมายุครบ ๗๒ พรรษา เสมอด้วยพระบาทสมเด็จพระ

พุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชชีวิตสมรสสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ทรงฉายพร้อมท่าน
ผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม พระธิดาทรงศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนมาแตร์เดอี จากนั้นเสด็จไปศึกษาต่อที่

อินเตอร์เนชั่นแนลสกูล กรุงเจนีวา และทรงสำเร็จปริญญาด้านเคมีจากมหาวิทยาลัยโลซาน เมืองโลซาน

ทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์เพื่อทรงเสกสมรสกับ พันเอกอร่าม รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์พระองค์มีมีพระธิดา

หนึ่งคนจากการเสกสมรสครั้งนั้น คือท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม (สมรสกับนายสินธู ศรสงครามมีบุตร

คือคุณจิทัศ ศรสงคราม)สถาปนากลับคืนคงพระราชศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ทุกประการโดยพระบาทสมเด็จ

พระเจ้าอยู่หัวเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ทรงเสกสมรสอีกครั้งกับ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช (พระ

โอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย และหม่อมแผ้ว)

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ได้ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจมากมายพระราชทานความช่วยเหลือให้แก่ประเทศ

ชาติ แบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มี

โครงการในพระอุปถัมภ์หลายร้องโครงการ ทั้งด้านการแพทย์ ประวัติศาสตร์ ดนตรี ศิลปะ สัตว์เลี้ยง และ

ฯลฯ นอกจากนี้ยังทรงพระอัจริยภาพในด้านการประพันธ์ พระนิพนธ์ที่มีชื่อเสียงเช่น เวลาเป็นของมีค่า แม่

เล่าให้ฟัง จุฬาลงกรณ์ราชสันตติวงศ์ และ มหามงกุฎราชสันตติวงศ์แต่สิ่งที่ไม่ใคร่มีผู้ใดทราบคือ ทรงมีพระ

ปรีชาสามารถในการขับเครื่องบินปีก 2 ชั้น และทรงขับเฮลิคอปเตอร์ได้อีกด้วย ทรงโปรดสัตว์ทุกประเภท

แต่ที่มีขนาดเหมาะสมกับพระตำหนักคือสุนัข พระองค์ทรงรับคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัยไว้ในพระอุปถัมภ์ด้วยสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ได้เสด็จทรงประพาสทั้งในและต่างประเทศ

เพื่อบำเพ็ญพระกรณียกิจ เช่นโครงการแพทย์ พอสว. (สืบสานพระราชปณิธานสมเด็จพระศรีนครินทราบรม

ราชชนนี) และเพื่อทรงส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะที่มีเจ้าฟ้าหญิงที่ทรงบำเพ็ญพระกรณีย

กิจมหาศาลอย่างไม่รู้จักทรงเหนื่อยยากเพื่อความสุขของประชาชนปัจจุบันประทับที่วังเลอดิส ถนนสุขุมวิท

ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ มาเป็นระยะเวลานานกว่า ๗๒ ปีแล้ว
"ความเรียบง่าย" พระจริยวัตรอันงดงาม สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของพสกนิกรว่า

พระจริยวัตรและพระกรณียกิจของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราช

นครินทร์ ยังประโยชน์ให้ชาวไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดังจะเห็นได้จากโครงการในพระอุปถัมภ์หลาก

หลายโครงการทั้งด้านการแพทย์ ประวัติศาสตร์ ดนตรี ศิลปะ สัตว์เลี้ยงอาทิ มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระ

ศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) แห่งประเทศไทย, มูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิควิชาการ และพัฒนาการ

มาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษา มูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย มูลนิธิขาเทียมในพระบรมราชูปถัมภ์ มูลนิธิเด็ก

โรคหัวใจ เป็นต้นไม่เพียงแต่พระเมตตาที่เป็นที่ชื่นชมแล้ว พระจริยวัตรในการดำเนินพระองค์ด้วย "ความ

เรียบง่าย" ก็เป็นที่ประจักษ์เช่นเดียวกันนายจิทัศ ศรสงคราม บุตรชายของท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม

พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ซึ่งมีศักดิ์เป็น "หลาน" บอกเล่าความประทับใจต่อ "สมเด็จยาย" ว่า

แม้พระองค์จะไม่ค่อยทรงแนะนำอะไร แต่ลูกหลานจะสามารถซึมซับความงดงามในพระจริยวัตรได้จากการ

ดำเนินพระองค์ ทั้งเรื่องการเสวย ของใช้ส่วนพระองค์ ทรงกระทำทุกอย่างอย่างเรียบง่าย และสมถะ ไม่หวือ

หวาฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ท่านทรงเน้นย้ำกับครอบครัว คือ การวางตัวให้เหมาะสมถูกกา

ละเทศะ การตรงต่อเวลาอย่าทำให้ผู้อื่นคอย และความถูกต้องตามขั้นตอนพิธีการ

อาการพระประชวร แถลงการณ์ฉบับที่ 1 และแถลงการณ์ฉบับที่ 38 แถลงการณ์สำนักพระราชวัง ฉบับที่ 1


สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาส


ราชนครินทร์ ทรงประชวร ฉบับที่ 1 ความว่าเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2550 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิ


วัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงมีพระอาการผิดปกติเกี่ยวกับพระนาภี คณะแพทย์ได้ถวายตรวจ


พระวรกายและเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ พบมะเร็ง จึงได้กราบทูลเชิญให้ประทับรักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาล


ศิริราข โดยถวายการรักษาด้วยพระโอสถ พระอาการโดยรวมดีขึ้นบางระยะ ทรงและทรุดลงบางช่วงเวลาเช้า


วันนี้ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีพระวรกายด้านขวา


อ่อนแรง คณะแพทย์ได้ถวายตรวจพระสมองด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ พบว่ามีเนื้อสมองด้านซ้ายตายเป็น


วงกว้าง จากเส้นเลือดสมองอุดตัน จึงได้ถวายพระโอสถรักษา และเฝ้าติดตามพระอาการอย่างใกล้ชิดจึง


ขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันสำนักพระราชวัง15 มิถุนายน 2550แถลงการณ์สำนักพระราชวัง ฉบับที่ 38


สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาส


ราชนครินทร์ ทรงประชวร ฉบับที่ 38 ความว่าวันนี้ (1 ม.ค.) คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา สมเด็จพระเจ้าพี่


นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้า


กัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีพระอาการโดยรวมทรุดลง ไม่รู้สึกพระองค์ หายพระทัย


อ่อนลง พระวักกะ (ไต) ไม่ทำงาน คณะแพทย์ฯ ได้ถวายการรักษาตามพระอาการอย่างใกล้ชิดจึงขอ


ประกาศให้ทราบโดยทั่วกันสำนักพระราชวัง1 มกราคม 2551

ประกาศสำนักพระราชวัง พระพี่นางฯ สิ้นพระชนม์แล้วสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรม

หลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว เมื่อเวลา 02.54 น. ของเช้าวันพุธที่ 2 มกราคม 2551 ที่

ผ่านมา หลังทรงเข้ารับการรักษาพระอาการประชวรที่โรงพยาบาลศิริราชหลายสัปดาห์


ขอบคุณที่มาจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี แถลงการณ์สำนักพระราชวังจาก โพสต์ทูเดย์.

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ดูงานที่ศิลปากร...นิทรรศการฝรั่งเศส

อืมมม.....สวัสดีค้าทุกคนวันนี้ไปดูงานที่ม.ศิลปากรมา555+....อยากจะบอกว่า..สุดยอดก็คือเป็นงานเกี่ยวกับ

ฝรั่งเศสนะคะ555+...แล้วเราก็ได้อยู่ฟังเขาประกวดร้องเพลง...ทุกโรงเรียนทำเต็มที่รวมทั้งโรงเรียนเราด้วย...

ก็ดีใจกับห้องเรามากๆเพราะกวางร้องเพลงเดี่ยวได้ที่หนึ่ง...(เก่งจริงๆ)หลังจากนั้นก็จะเป็นการประกวดร้อง

เพลงประสานเสียง โอ้โห้..คือไม่อยากจะบอกนะคะ..ว่ามาเพลงแรกของโรงเรียนยอแซฟอุปถัมภ์ก็สุดยอด

แล้วตอนแรกฟังเพลงก็คุ้นๆอยู่..แต่พอฟังไปเรื่อยๆอ๋อ...จำได้ล่ะ..เคยดูหนังเรื่องLes Choristes ( The

Chorus )นั่นเอง..ฟังแล้วขนลุกมากเพราะชอบหนังเรืองนี้ส่วนตัวอยู่แล้ว..ชื่อเพลงว่าCaresse Sur L'ocean

เพราะมากค่ะ...Jean Baptiste Maunier หนุ่มน้อยตัวเอกเสียงเพราะหน้าตาหล่อเหลาคนนี้เสียงสะกดคน

ฟังมากเลยเป็นเหตุผลที่เชียร์หนังเรื่องนี้อยู่ในใจ(มาเป็นเวลานานแล้ว)ลองฟังเพลงนี้และอย่าลืมไปหาดู

หนังเรื่องนี้กันนะคะให้แง่คิดและอารมณ์ที่ดูแล้วซาบซึ้งใจอย่างไม่มีวันลืมกันเลยทีเดียว...(พอกลับบ้านมา

ต้องดูซ้ำอีกรอบเลยล่ะ)



Caresse Sur L'ocean
Bruno Coulais

Caresse sur l'oceanPorte l'oiseau si leger Revenant des terres enneigees Air ephemere de

l'hiver Au loin ton echo s'eloigne Chateaux en Espagne Vire au vent tournoie deploie tes ailes

Dans l'aube grise du levant Trouve un chemin vers l'arc-en-cielSe decouvrira le printemps


Caresse sur l'ocean Pose l'oiseau si leger Sur la pierre d'une ile immergee Air ephemere de

l'hiver Enfin ton souffle s'eloigne Loin dans les montagnes Vire au vent tournoie deploie tes

ailes Dans l'aube grise du levant Trouve un chemin vers l'arc-en-cielSe decouvrira le

printemps Calme sur l'ocean.

นางนวลนกน้อย ค่อยๆบินลงมาเจ้าแตะพื้นช้าๆ ราวจุมพิตวารีบนเนินโขดหิน ถิ่นเกาะโสภีลมหนาวที่เคยมี

ฉับพลันพัดลาเคยหนาวเหลือแสน ความอุ่นแทนมาไล่หนาวหายหน้า สู่ฟ้าเบื้องบนกางปีกเตรียมบิน โผผิน

ครั้งใหม่สู่อรุณวิไล วันใหม่ที่ดีกว่าเชิดหน้าบินมุ่ง สู่รุ้งปลายฟ้าอีกไม่นานถึงครา ผันเปลี่ยนเวียนฤดูความสด

ใสค่อยเผยมา สู่มหานที

วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2550

Poémes "Amour et Romantisme"

Aurelia Rummel

c les gestes pa les mots
tu peux me dire tes sentimemts
me les jurer ou preter serment
c'est pour la vie ou j'tattend
ca reste du vent

tu peux ecrire tous les poemes
me declarer encore que tu 'aimes
ca te suffis de temps en temps
mais moi pas vraiment

tu peux me dire toutes les raisons
faire des excuses, des comparaisons
je t' ai menti demande pardon
ca change quoi au fond

je peux meme lire dans ton regard
trouver des ruses pour encore te croire
c 'est toujours fuir les bonnes questions
et tourner en rond
c'est les gestes pas les mots

dont j 'ai besoin pour etre bien
et qui nous font defaut
c' est les gestes pas les mots
que lon fait juste comme ca pour rien
parce qu ils en disent bien plus long
qu on les retient

tu peux ;e dire tes sentiments
me les jurer ou preter serment
ca ne re;place ja;ais longtemp
sun geste qu on attend
juste un sourir une attention
meme un silence meme sans passion
il y a tant de mots qui mentent
le reste se comprend
ขอขอบคุณwww. e-stories.org

4 in The morning by Gwen Stefani

ก้อเป็นอีกเพลงของเกว็น สเตฟานี่ ที่เพราะมากๆลองฟังกันดูนะคะ ความหมายของเพลงก็ดีอีกด้วย เป็นเพลงรักที่ดีของเธออีกเพลงหนึ่งเลยทีเดียว ขอขอบคุณwww.youtube.com

Wakin up to find another day The moon got lost again last night But now the sun has finally had it's say I guess I feel alright But it hurts when I think, when I let it sink in It's all over me I know you're here, in the dark I'm watchin you sleep, it hurts a lot

[Bridge] And all I know is you've got to give me everything And nothing less cuz you know I'd give you all of me

[Chorus] I'd give you everything that I am I'm handin over everything that I've got Cause I wanna have a really true love Don't ever wanna have to go and give you up Stay up till four in the morning and the tears are pouring And I wanna make it worth the fight What have we been doing for all this time Baby if we're gonna do it come and do it right

All I wanted was to know (I'm safe) Don't wanna lose the love I found Remember when you said that you would change Don't let me down It's not fair, how you are I can't be complete, can you give me more [Bridge]

[Chorus] Oh please, you know what I need Save all your lovin for me We can't escape the love With everything that you have [Bridge] [Chorus]

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

Adolescence : le plus bel âge ?


Quand le corps se met à changer, c’est, avec lui, tous les vieux repères qui disparaissent. Rude est alors la tâche des adolescents qui doivent lâcher le terrain connu de l’enfance pour aller vers du neuf dont ils tentent, parfois maladroitement, de désigner les contours. Eclairage sur les "maux" de l’adolescence partagés entre conduites à risques et souffrance psychique.


Mais quel est cet étranger ? La question qui se pose quand vient la puberté n’est pas seulement celle des parents de l’adolescent. Ce corps en pleine métamorphose, cette
personnalité changeante qui cherche ses marques interrogent le jeune tout autant que sa famille. L’interrogent mais surtout le dérangent et l’angoissent. Ce n’est pas rien, en effet, que de quitter les certitudes de l’enfance - l’adolescent sort d’une période de latence qui va de six à douze ans, où il a "déposé" toutes ses inquiétudes -, un corps familier et la confiance quasi aveugle en ses parents et les valeurs qu’ils lui ont transmises !

© Vincent/REA

Vers l’âge de onze ou douze ans, en même temps que se réveille l’hypothalamus, libérant la sécrétion d’hormones sexuelles, l’adolescent doit interrompre la perfusion affective qui l’alimentait. Pour grandir - adolescence vient du latin adolescere, croître -, il doit lâcher le trop connu pour l’inconnu, qu’il va tenter, avec les moyens du bord, de s’approprier.

"La perte et la séparation sont les deux caractéristiques majeures de l’adolescence et de la dépression, résume le psychiatre Stéphane Clergé [1]. C’est pour cela que je dis que la dépression est un passage obligé de l’adolescence." Attention, bien sûr, à ne pas voir en tout jeune une personne malade qui nécessiterait des soins psychiatriques. "Par nature, l’adolescent doit traverser la perte, mais si les fondements affectifs sur lesquels il s’est construit dans son enfance sont solides, il doit pouvoir vivre sans drames cette reconfiguration à la fois psychique, sociologique et physique."

Ce qui n’est pas donné à tout le monde, puisque, comme le montrent les dernières études menées en France [2], 15 % des jeunes Français présentent aujourd’hui des signes tangibles de souffrance psychique. Du repli sur soi à l’adoption de conduites à risques (voir encadré), en passant par le désintérêt pour l’environnement familial, scolaire ou amical, les tentatives de suicide, la consommation d’alcool, l’anorexie ou la boulimie [3], la palette à laquelle recourent les ados pour exprimer leur mal-être est terriblement dangereuse.

Ainsi, 1 000 adolescents se suicident chaque année en France, 7 % font une tentative de suicide [4] et 40 % des décès des jeunes de quinze à dix-neuf ans sont dus à des accidents de la route. Quant à la consommation de produits dangereux qui favorisent l’addiction, elle atteint des taux tout à fait alarmants : les trois quarts des adolescents sont fumeurs, 30 % des filles (11 % pour les garçons) ont eu recours à des psychotropes à l’âge de dix-sept ans et 12,5 % des onze-dix-neuf ans absorbent au moins deux fois par semaine des boissons alcoolisées.

Souffrance psychique : signe des temps ou étape incontournable ?
Que l’adolescence ne soit pas nécessairement le plus bel âge ne fait donc pas de doute. Il reste à savoir si la pénibilité de cette période de la vie est due à sa nature même ou à l’époque dans laquelle nous vivons.

"L’adolescent, par nature, cherche à définir ses propres limites à travers une expérience faite d’essais et d’erreurs, explique Xavier Pommereau, auteur du Rapport sur la santé des jeunes [5]]. Pour se déterminer par rapport aux repères temporels, spatiaux et éthiques fixés par les adultes, il est amené à prendre des risques. Mais toute la difficulté aujourd’hui - et c’est aussi la chance de notre époque - vient de ce que la société s’est affranchie d’un déterminisme qui ne laissait que bien peu de marge aux générations précédentes. Le choix du métier, des valeurs, des inclinations sexuelles, des lieux de résidence ouvre au jeune un champ infini qui peut lui donner le vertige." Le rôle de l’adulte est alors de cadrer cette liberté sans être coercitif et de favoriser l’autonomie sans pour autant sous-estimer les appels à l’aide.


Par Laurence Bernabeu, journaliste