วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

คู่ของลูกคนโต คนกลาง คนเล็ก


คนที่เป็นลูกแต่ละแบบควรจะมีคู่หรือมีแฟนเป็นคนแบบไหนถึงจะไปกันรอด หรือแบบไหนที่แค่คบ ๆ แล้วก็ผ่านไป เพราะนิสัยที่เข้ากันไม่ได้หรือแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว.......
เริ่มจากคู่ที่เป็นลูกคนโตกับลูกคนโตด้วยกัน ดูแล้วน่าจะไปกันยาก เพราะลูกคนโตจะชอบชี้นิ้วสั่งการ ชอบออกคำสั่ง เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ และเจ้าระเบียบ ดังนั้นคู่ที่เป็นลูกคนโตทั้งคู่ก็จะหัวแข็ง หัวดื้อด้วยกันทั้งคู่ มักจะไม่ยอมกัน ถึงแม้บางครั้งอาจจะมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเอาอกเอาใจอีกฝ่าย แต่ก็มักจะไม่ทำตลอดเวลา เส้นทางของคู่นี้จึงเต็มไปด้วยความเข้าใจกันคู่ที่เป็นลูกคนโตกับลูกคนกลาง ลูกคนกลางมักจะเป็นคู่รักที่ดีของทุก ๆ คน แต่ดันมาเจอกับลูกคนโต ที่ชอบวางอำนาจเป็นนิตย์ แม้ว่าคนที่เป็นลูกคนกลางจะยอมโอนอ่อนผ่อนตาม แต่นาน ๆ เข้าลูกคนกลางก็จะรู้สึกแย่ ๆ ว่าทำมั้ยต้องมารองรับอารมณ์อยู่ตลอดเวลา ลูกคนกลางจะสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเองลง ต่อไปความพยายามที่จะทำให้ลูกคนโตซึ่งเป็นคนรักของตัวเองชื่นชอบก็จะหมดไปด้วย แต่หากคนที่เป็นลูกคนกลาง มีนิสัยค่อนไปทางลูกคนเล็ก ก็จะเป็นคู่ที่ไปด้วยกันได้ดีทีเดียว คู่ที่เป็นลูกคนโตกับลูกคนเล็ก คู่นี้เรียกได้ว่าเป็นคู่ที่ลงตัวที่สุด เพราะลูกคนโตจะช่วยสอนให้ลูกคนเล็กรู้จักจัดระเบียบชีวิตของตนเอง เพราะปกติลูกคนเล็กมักจะได้รับการเอาอกเอาใจจากคนทั้งบ้าน ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร จึงมักขาดความมีระเบียบ ซึ่งจะช่วยเสริมเติมกันได้พอดิบพอดีในขณะที่ลูกคนเล็กก็จะนำความสนุกสนานร่าเริงมาให้คนที่เป็นลูกคนโต ซึ่งจะช่วยเพิ่มสีสันและรสชาติชีวิตแบบที่ลูกคนโตไม่เคยพบเห็นมาก่อนคู่ที่เป็นลูกคนกลางกับลูกคนกลาง มีความเป็นไปได้สองแนวทาง แนวทางแรกหากคนหนึ่งมีนิสัยค่อนไปทางลูกคนโต และอีกคนนิสัยค่อนไปทางลูกคนเล็ก ทั้งคู่จะไปได้สวยเพราะจะเติมส่วนที่ขาดซึ่งกันและกันได้แต่หากทั้งคู่มีนิสัยไม่ยืดหยุ่นเหมือนลูกคนกลางทั่วไป ถึงแม้จะดูเหมือนไม่มีอะไรในกอไผ่ แต่จะไม่ค่อยพูด ชอบเก็บงำความรู้สึก ชอบไม่ชอบอะไรก็จะเงียบ และหากต่างคนต่างเงียบก็อาจจะเกิดปัญหาขึ้นในภายหลังได้ เมื่อถึงวันที่ทนไม่ไหวแล้วระเบิดออกมา แถมยังส่อเค้าว่าจะมีกิ๊กด้วยเพราะความไม่พูดนี่แหละคู่ที่เป็นลูกคนกลางกับลูกคนสุดท้อง หากลูกคนกลางมีนิสัยค่อนไปทางลูกคนโต คู่นี้จะเป็นคู่ที่ไปกันได้สวย แต่ถ้านิสัยเหมือนลูกคนกลางจริง ๆ คือมักจะโอนอ่อนผ่อนตาม ก็จะคล้อยตามคู่ซึ่งเป็นลูกคนเล็ก จะทำให้ขาดความรับผิดชอบแต่ถ้าลูกคนกลางมีนิสัยค่อนไปทางลูกคนเล็กละก็อาจจะไปกันใหญ่ เพราะลูกคนเล็กมักจะขาดการจัดระเบียบในชีวิตที่ดี พากันลงเหวได้ง่ายคู่ลูกคนเล็กทั้งคู่ ปกติลูกคนเล็กหรือน้องนุชสุดท้องจะเป็นคนร่าเริง มองโลกด้วยความสนุกสนาน มักไม่ต้องคิดกังวลปัญหาใด ๆ แต่ทั้งคู่ไม่ได้ถูกเลี้ยงมาแบบให้แก้ปัญหาด้วยตัวเอง เวลามีปัญหาเลยทำให้ความรักพังได้ง่ายๆ

นิสัยแย่ ๆ แต่ละราศี

ราศีมังกร 14 มกราคม - 13 กุมภาพันธ์เป็นพวกเอาใจยาก ช่างติ ขี้ระแวง ทะเยอทะยานสูง หัวรั้น เข้มงวด ช่างวิตกกังวล มักเก็บความขุ่นเคืองไว้ในใจ ชอบไต้เต้าแสวงหาตำแหน่ง หรือสถานภาพสูง ๆ ทำได้ทุกวิถีทาง แม้กระทั่งเหยียบเพื่อนพ้อง เพื่อขึ้นไปในจุดที่ตัวเองต้องการ

ราศีกุมภ์ 14 กุมภาพันธ์ - 13 มีนาคมแม้ดูสมบูรณ์แบบไปหมด แต่เป็นพวกไร้อารมณ์ ไม่มีไหวพริบ ชอบมีความลับ เย็นชา ไม่อ่อนไหว ดันทุรัง ไม่ชอบสุงสิงกับใคร ต่อต้านสังคม เดาใจยาก มักมีอะไรแปลกประหลาด ๆ หรือทำอะไรพิลึกพิลั่น

ราศีมีน 14 มีนาคม - 13 เมษายนชอบหลบเลี่ยงปัญหา มีลับลมคมใน ทำตัวเป็นปริศนา จะพูดจะทำอะไรก็คลุม ๆ เครือ ๆ ไม่ชัดเจน ขี้เกียจหลุดโลก ลังเล อ่อนไหวเกินเหตุ ถูกหลอก หรือถูกชักจูงไปในทางที่ไม่ถูกต้องไม่ควรได้ง่าย

ราศีเมษ 14 เมษายน - 13 พฤษภาคมใจร้อน ใจเร็ว ไม่อดทน อยู่สงบ ๆ ไม่เป็น สะเพร่า บุ่มบ่าม เจ้าโทโส เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางโลก หัวดื้อ ตลบตะแลง ชอบบงการและเพียบพูนด้วยตัณหา ความทะยานอยาก

ราศีพฤษภ 14 พฤษภาคม - 13 มิถุนายนนิยมวัตถุ ขี้อิจฉา เจ้าคิดเจ้าแค้น ชอบทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ตามใจตัวเอง ดันทุรัง และชอบโต้แย้ง เป็นประจำทั้ง ๆ ที่เรื่องนั้นถูกต้องอยู่แล้ว

ราศีเมถุน 14 มิถุนายน - 13 กรกฎาคมข้อเสียประจำราศีนี้ก็คือเหลาะแหละ โลเล ขี้เบื่อ กวนประสาทอยู่ไม่เป็นสุข ช่างกังวล และเครียดง่าย ชอบสอดรู้สอดเห็น ชอบยักย้ายเปลี่ยนแปลง และมักพาลหาเรื่องทะเลาะวิวาท

ราศีกรกฎ 14 กรกฎาคม - 13 สิงหาคมข้อเสียของราศีนี้ คือ ชอบผัดวันประกันพรุ่ง ขี้ระแวง นึกถึงตัวเอง อารมณ์แปรปรวนง่าย ทำอะไรไม่เรียบร้อย อยากได้โน่นอยากได้นี้ ไม่ตรงไปตรงมา ขุ่นใจเป็นประจำ และหวั่นไหวง่าย

ราศีสิงห์ 14 สิงหาคม - 13 กันยายนเชื่อมั่นในตนเองจนล้นเกิน มีความทะเยอทะยานสูง ชอบคุยโว ชอบวางมาด ขี้อิจฉา เจ้าทิฐิ เจ้าเล่ห์ ชอบควบคุม อวดดี ชอบก้าวก่าย แทรกแซงในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องตัวเอง

ราศีกันย์ 14 กันยายน - 13 ตุลาคมขึ้นชื่อว่าเป็นจอมจู้จี้ จุกจิก ชอบติ ชอบบ่น เจ้าทุกข์ ช่างวิตกกังวล โลเล ชอบอวดรู้ ชอบโต้แย้ง และหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องเพศตรงข้าม

ราศีตุลย์ 14 ตุลาคม - 13 พฤศจิกายนสุดฟู่ฟ่าก็จริง หากชอบหนีปัญหา ไม่ยอมตัดสินใจไม่ว่าเรื่องอะไร ชอบนินทา เป็นนักยักย้ายเปลี่ยนแปลง ถูกชักจูงง่าย ถูกหลอกง่าย ชอบเหมางาน นิสัยเจ้าชู้ เอาแต่ใจตัวเอง หากมีใครวิจารณ์ติติงจะทนไม่ค่อยได้

ราศีพิจิก 14 พฤศจิกายน - 13 ธันวาคมเป็นราศีที่มีลับลมคมนัย คิดมาก ขี้หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวนง่ายและรุนแรง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ดื้อรั้น ขี้โมโห ขี้อิจฉา ชอบเรียกร้องคนอื่น เจ้าคิดเจ้าแค้น

ราศีธนู 14 ธันวาคม - 13 มกราคมชอบความเป็นเผด็จการ ไม่ยอมใคร เชื่อมั่นในตนเองสูง พูดจากแบบขวานผ่าซาก และชอบอยู่ตามลำพัง ไม่สนใจใคร ไม่มีความรับผิดชอบเท่าที่ควร

รูปปั้นพระเยซู



ชื่อสถานที่
รูปปั้นของพระเยซู เมือง ริโอ เดอ จาเนโร: Statue Cristo Redentor
สถานที่ตั้ง
เมือง Rio de Janeiro ประเทศบราซิล
ปัจจุบัน
สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
รูปปั้นของพระเยซูที่โปรดให้พ้นบาป ยืนสูง 30 เมตร (98ฟุต) และกำลังมองข้ามเมือง Rio de Janeiro หนึ่งในรูปปั้นสูงที่สุด ในโลก. รูปปั้นแสดง พระเยซูเยืนยื่นแขนออกมาต้อนรับ และเป็นหนึ่งของสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงมากของเมืองนี้ พัฒนาดดยวิศวกร Heitor da Silva Costa และองค์กร สร้างขึ้นในปี 1921 ดครงการทำเกือบ 5 ปีจึงเสร็จสิ้น รูปปั้นอยู่บนภูเขา Corcovado (ภูเขา Hunchback ) และตั้งใน อุทยานแห่งชาติ Tijuca เป็นสถานที่ปิคนิกที่รื่นเริง นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปฐานของรูปปั้น ซึ่งสูง 709 m (2326ฟุต) สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของภูเขา Sugar Loaf กลางเมือง Rio de Janeiro และชายหาดของ Rio de Janeiro นักท่องเที่ยวสามารถ ขึ้นรถไฟ ไปบนยอดของภูเขาเพื่อมองรูปปั้นอย่างใกล้ชิด และสร้างวิวที่สวยงามมากมาย
:: อ้างอิง
แปล และเรียบเรียงโดย Webmaster จากhttp://www.geocities.com/Athens/Forum/8111/cristo_redentor.htmlhttp://www.worldtouristattractions.travel-guides.com/Attractions/soc/soc.asp
เว็บไวต์อ้างอิง:www.wonder7th.com

7สิ่งมหัศจรรย์ของโลก55+(แบบอัพเดตแล้วจ้า)


ชื่อสถานที่

ชิเชน อิตสา
: Chichen Itza
สถานที่ตั้ง ประเทศเม็กซิโก
ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้



ชิเชน อิตสา เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิหารจำนวนมากมายซึ่งพวกมายาได้สร้างขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ของเทพเจ้าผู้ทรงกระหายพระโลหิต ตัววิหารก่อสร้างซ้อนกันเป็นชั้น ๆ บนเนื้อที่ราว 6.4 ตารางกิโลเมตร วิหารที่ใหญ่สุดมีชื่อว่า มหาวิหารแห่งนักรบ สร้างคริสต์ศตวรรษที่ 12 สร้างทีหลัง วิหารเก่าแห่งชัคมูล ตรงกลางสร้างเป็นปราสาทเหลี่ยมทึบสูงขึ้นไปใช้เป็นที่ทำพิธีสังเวยเทพเจ้าโดย ใช้เด็กสาวโยนลงไปถวายเทพเจ้า ณสิที่นั้น

ลักษณะโดยทั่วไปของชิเชน อิตสา ทำเป็นรูปเหลี่ยมลดขั้นเป็นชั้น ๆ มีบันไดกลาง รอบ ๆ ทำเป็นบริเวณตลาดทำนองเดียวกับสถานสถิตยุติธรรมของพวกโรมันทซึ้งอยู่กลางเมือง ที่สาธารณะ เป็นที่รวมของฝูงประชาชน

ชนเผ่ามายาแห่งเม็กซิโก สืบสายมาจากคนพวกแรกที่เดินทางจากเอเชีย เข้ามายัง อเมริกา ทางช่องแคบเบริ่ง ได้มีการพัฒนาทางวัฒนธรรมทั้งในด้านเหี้ยมโหดอันป่าเถื่อน และความมีธิสติปัญญาอันสูงส่งในขณะเดียวกัน

พวกมายาฝึกความเสียสละด้านมนุษยชาติ ควักหัวใจผู้ที่รับการบูชาออกสังเวยพระเจ้า ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาความรู้ด้านดาราศาสตร์ ศิลปะของสถาปัตยกรรม ทางอักษรศาสตร์ ด้านการเขียนบันทึกด้วยตัวอักษรพิเศษ และการค้นพบค่าของเลข 0 ทางคณิตศาสตร์ แต่ก็น่าแปลกชัที่พวกนี้มิได้ค้นพบประโยชน์อันเกิดจากล้อเลื่อน

ศูนย์กลางของอารยธรรมของคนพวกนี้อยู่ที่ชิเชน อิตสา ในคาบสมุทรยุกาตัน ผู้ค้นพบ ขุมอารยธรรมเหล่านี้แล้วนำออกมาเผยแพร่ให้ชาวโลกได้ทราบคือ นายธอมป์สันยชาวอเมริกา ผู้ใช้ชีวิตซอกซอนท่องเที่ยวไปในหมู่พวกมายาด้วยความสนใจจะศึกษาสิ่งลึกลับต่าง ๆ

บางทีอาจกล่าวได้ว่าพวกมายาจะเป็นต้นตำรับของพวกบูชาความสงบที่ต้องการศาสนารุนแรง นองเลือด หลังจากที่เคยพ่ายแพ้พวกชนเผ่าโตลเต็ค ซึ่งอยู่ตอนกลางของเม็กซิโก ในท้ายที่สุด พวกมายาก็ตกอยู่ใต้อำนาจของผู้ที่นิยมความรุนแรงที่เหนือกว่า ในเมื่อผู้ชนะที่กระหายเลือด โลภที่ จะได้ทอง และทรัพย์สมบัติของพวกมายาอย่างเต็มที่




:: อ้างอิง
สำเนียง มณีกาญจน์ และ สมบัติ จำปาเงิน.ท่องไปในโลกกว้างนำชมสิ่งมหัศจรรย์ของโลก.
กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์,2530
เว็บไซต์อ้างอิง:Wonder7th.com

Biographie



1452 le 15 avril, Léonard nait d'une relation amoureuse illégitime entre son père, Ser Piero da Vinci, notaire de la république d'une riche famille de notables italiens, et sa mère, Catarina, une humble fille de paysans, dans le petit village Toscan d'Anchiano (à 2 km du village de Vinci, 80 km de Florence, 50 km de Pise en Italie)

(Il naît le 15 avril du calendrier Julien, l'année où l'Italie adopte le calendrier Grégorien)
À cette époque les conventions d'appellation modernes ne se sont pas encore développées en Europe. Seules les grandes familles font usage du nom de leur "tribu". L'homme du peuple est désigné par son prénom auquel on adjoint toute précision utile : le nom du père, le lieu d'origine, un surnom (Botticelli), le nom du maître pour un artisan (Andrea del Verrocchio), etc. Par conséquent, le nom de l'artiste est Leonardo di ser Piero da Vinci, ce qui signifie Leonardo, fils de maître Piero, de Vinci. Léonard lui-même signe simplement ses travaux Leonardo ou Io, Leonardo (Moi, Leonardo). La plupart des autorités rapportent donc ses travaux en tant que Leonardo sans le da Vinci. Vraisemblablement il n'emploie pas le nom de son père parce qu'il est un enfant illégitime.
Leonard vit misérablement avec sa mère Catherina

1457 : il a 5 ans quand sa mère se marie avec un paysan d'Anchiano. Il est alors admis dans la maison de la famille de son père, du village de Vinci, qui, entre temps, a épousé une jeune fille de bonne famille, âgée de seize ans, Donna Albiera Amadori. Celle-ci sans enfant reporte toute son affection sur Léonard, mais elle meurt très jeune à l'âge de 24 ans en 1465 alors que Léonard à 13 ans. Il fut considéré comme faisant partie de la famille de riche notable de son père mais ne fut jamais légitimé par ce père qui se maria quatre fois et lui donna dix frères et deux sœurs légitimes venus après lui.

1466 : Léonard a 14 ans et sa famille recomposée s'installe à Florence. Le jeune Léonard est proche de la nature, qu'il observe avec une vive curiosité, et s'intéresse à tout. Il dessine déjà des caricatures et écrit à l'envers (écriture en miroir) en dialecte Toscan. Giorgio Vasari, dans sa biographie de Léonard, raconte une anecdote sur les premiers pas dans la carrière artistique de celui qui allait devenir un des plus grands peintres de la Renaissance. Un jour, le père de Léonard, Ser Piero, « prit plusieurs de ses dessins et les soumit à son ami Andrea del Verrocchio qu'il pria instamment de lui dire si Léonard, s'il devait se consacrer à l'art du dessin, pourrait parvenir à quelque chose en cette matière. Andrea s'étonna forts des débuts extraordinaires de Léonard et exhorta Ser Piero à lui permettre de choisir ce métier, sur quoi Ser Piero résolut que Léonard entrerait à l'atelier d'Andrea. Léonard ne se fit pas prier deux fois ; non content d'exercer ce métier, il exerça ensuite tous ceux qui se rattachent à l'art du dessin. » C'est ainsi que Léonard fut placé comme élève apprenti dans un des plus prestigieux ateliers d'art de la Renaissance de Florence sous le patronage d'Andrea del Verrocchio à qui il doit sa formation polytechnique d'excellence, où il côtoya d'autres artistes comme Sandro Botticelli, Pérugin et Domenico Ghirlandaio. Verrocchio était un artiste renommé polytechnique et très éclectique : orfèvre de formation, peintre et sculpteur qui a travaillé pour le riche mécène Laurent de Médicis. Après un an passé au nettoyage des pinceaux et autres petits travaux, Verrocchio initie Léonard à la préparation des couleurs, la décoration, la gravure, la peinture des fresques ainsi qu'à la sculpture sur marbre et sur bronze, puis il confie à son élève qu'il trouve exceptionnel le soin privilégié de terminer ses tableaux. Il n'y a pas d'œuvres de Léonard connues pendant cette période.

La Vierge aux rochers (1483-84)Paris, Musée du Louvre
1472 a l'âge de 20 ans, il est enregistré dans le Livre Rouge de la compagnie de St Luc, célèbre guilde des artistes peintres de Florence, le Campagnia de Pittori. Sa carrière de peintre débute par des œuvres immédiatement remarquables telles que La vierge à l'œillet, ou L'Annonciation


(1473). Il améliore la technique du sfumato (impression de brume) à un point de raffinement jamais atteint avant lui.

1476 il est toujours mentionné comme assistant de Verrocchio, mais on suppose qu'entre 1476 et


1478 il possédait aussi son propre atelier car pendant cette période il reçut deux commandes personnelles. Il peint son premier tableau, La madone à l'œillet, et entre, la même année, dans l'atelier de Paolo Ucello, où il étudie la perspective.

1478 a 26 ans, il quitte son maître après avoir brillamment dépassé celui-ci dans toutes les disciplines. Léonard de Vinci devient alors maître peintre indépendant.

1481 le monastère de San Donato lui commande L'Adoration des Mages, mais Léonard, vexé de ne pas être choisi par le Pape Sixte IV pour la décoration de la chapelle Sixtine du Vatican à Rome où il est en concurrence avec Michel Ange, ne terminera jamais ce tableau et quitte Florence pour aller à Milan travailler pour le mécène et Duc de Milan Ludovic Sforza
Ce dernier l'emploi à des tâches diverses. L'artiste est ainsi " ordonnateur de fêtes et spectacles aux décors somptueux " du palais et invente des machines de théâtre qui émerveillent le public, il peint plusieurs portraits de la cour milanaise et entreprend des études pour rendre navigable le canal de la Martezana. En 1483, il commence à peindre l'un de ses chefs-d'œuvre les plus admirés : La Vierge aux rochers, pour la chapelle San Francesco Grande. C'est aussi à cette époque qu'il réfléchit à des projets techniques et militaires. Il améliore les horloges, le métier à tisser, les grues... Il étudie aussi l'urbanisme et propose des plans de cités idéales.

1490 vers cette date, il crée une académie portant son nom où il enseigne pendant quelques

années son savoir tout en notant ses recherches dans de petits traités. Au cours de cette période, il fait des études pour "Il Cavallo", une statue équestre géante de cheval cabré montée par Francesco Sforza (le père du duc de Milan), une prouesse technique pour l'époque, mais cette sculpture ne sera jamais coulée en bronze.

1495 les Dominicains du monastère de Sainte-Marie-des-Grâces lui commandent La Cène qu'il peint à fresque sur le mur du réfectoire du couvent et en 1498, il réalise le plafond du palais Sforza.

1499 les troupes de Louis XII prennent le Duché de Milan et destitue le Duc Ludovic Sforza. Sa statue équestre cabrée est détruite. Louis XII veut découper le mur représentant la Cène pour l'emporter en France.

La dame à l'hermine (v. 1490)Portrait de Cecilia GalleraniMusée Narodowe, coll. Czartoryski, Cracovie

La vis aérienne en 1486 abusivement appelée l'hélicoptère : cette épure ne comporte pas la force motrice adaptée qu'il sera nécessaire de mettre en œuvre; de plus l'engin a toutes les chances de tourner sur lui-même
1500 En mars il est à Venise pour deux mois après avoir séjourné à Mantoue en compagnie du moine scientifique Luca Pacioli où il fut fortement remarqué pour un portrait d'Isabelle d'Este (Louvre cabinet des dessins). Fin Avril il est de retour à Florence. Au cours de son séjour sur les bords de la mer Adriatique il étudie les défenses de la frontière orientale de la Sérénissime contre une éventuelle attaque des turcs.

1501 Séjour dans le couvent de la Santissima Annunziata il reçoit la consécration pour l'esquisse préparatoire représentant La Vierge et sainte Anne. Bref séjour à Rome à la Villa Tivoli pour l'étude des Antiques, réalisation pour le puissant secrétaire d'état de Louis XII, Florimond Robertet, d'une Vierge au fuseau, aujourd'hui disparue.

1502 Appelé par le prince César Borgia, duc de Valentinois, avec le titre de "capitaine et ingénieur général" il séjourne dans les Marches et la Romagne pour inspecter les forteresses et territoires nouvellement conquis par le fils du Pape Alexandre VI. Rencontre avec Nicolas Machiavel "espion" de Florence au service de César Borgia.

1503-1506 Installation au couvent Santa Maria Novella, nouvel atelier du peintre pour le carton de la Bataille d'Anghiari.

1504 Léonard est consulté par la Seigneurie pour l'emplacement du David de Michel-Ange, son avis s'oppose à celui du "divin", ce dernier obtient gain de cause. Son père décède et Léonard est écarté de l'héritage par son illégitimité. Louis XII sollicite Florence, ou De Vinci réalise des études anatomiques et tente de classer ses innombrables notes, pour que le maître revienne à Milan. Si la Joconde est Mona Lisa del Giocondo, rien n'est moins sûr, début des séances de pose.
1505 Étude sur le vol des oiseaux, rédaction du codex de Turin

1506 Le gouvernement de Florence lui permet de rejoindre le gouverneur Français de Milan Charles d'Amboise, qui le retient auprès de lui malgré les protestations de la Seigneurie.

1507 Le peintre devient l'héritier de son oncle Francesco, mais ses neveux entament une procédure pour casser le testament. Louis XII est à Milan et Léonard est de nouveau l'ordonnateur des fêtes données dans la capitale lombarde.

1508 Début de la conception de la Sainte Anne, aujourd'hui au Louvre

1511 Mort du gouverneur Charles d'Amboise La France perd et quitte le Milanais après la bataille de Ravenne

1513 En septembre, Léonard de Vinci part pour Rome travailler pour le Pape Léon X, de la riche et puissante famille des Médicis.

1514 Série des "Déluges" une réponse partielle à la version offerte par Michel-Ange, dans la chapelle Sixtine. Projet d'assèchement des marais Pontins, appartenant au duc Julien de Médicis.

1515 En septembre, le nouveau roi de France François 1er reconquiert le Milanais par la Bataille de Marignan

1515 En novembre il se penche sur un nouveau projet d'aménagement du quartier Médicis à Florence. En décembre rencontre à Bologne avec le roi François 1er.

1516 il part travailler en France avec son assistant artiste peintre Francesco Melzi où son nouveau mécène et protecteur, le roi de France François Ier l'installe au Clos Lucé près d'Amboise (Indre-et-Loire) en tant que "premier peintre, ingénieur et architecte du roi". François Ier est fasciné par Léonard de Vinci et le considère comme un père. Projet de construction d'un nouveau palais à Romorantin avec détournement d'un fleuve dans la Sauldre.

Tombe de Léonard de Vinci au château d'Amboise

1519 le 2 mai, après avoir fait son testement le 23 avril devant le notaire d'Amboise, malade depuis de longs mois, Leonard de Vinci est emporté par la maladie au Clos Lucé à l'âge de 67 ans. Vasari[1], son premier biographe, prétend qu'il est mort dans les bras de François Ier mais cela est contesté.[2] Sa tombe est située à la chapelle Saint-Hubert, dans l'enceinte du château d'Amboise.
Léonard de Vinci, toute sa vie célibataire et abstinent, n'ayant jamais eu ni femme ni enfant, lègua l'ensemble de son œuvre considérable pour les faire publier. Ses manuscrits, carnets, documents et instruments furent offerts à son disciple préféré, Francesco Melzi. Melzi est son élève depuis l'âge de 10 ans. Après l’avoir accompagné en France, il resta près de Léonard de Vinci jusqu’à son décès et géra son héritage pendant les 50 années suivant la mort de son maître. De nombreuses peintures (parmi lesquelles la Joconde, la Vierge, l'Enfant et Sainte Anne, le S. Gerolamo...), qui se trouvaient encore en sa possession dans son atelier, furent transmises à un autre élève et disciple très apprécié par de Vinci, Giacomo Caprotti, aussi appelé Salai, entré à son service à l'âge de 15 ans. Les autres biens de de Vinci furent remis à ses serviteurs.

1570 décès de Francesco Melzi qui a conservé son héritage toute sa vie sans le publier. À cette date commence la dispersion et la perte des deux tiers des 50 000 documents originaux multi-disciplinaires rédigés en vieux toscan, crypté par Léonard de Vinci. Chaque carnet, manuscrit, page, croquis, dessin, texte, note, etc. est considéré comme une œuvre d'art à part entière. Il ne resterait que 13 000 documents environ, dont une majeure partie est archivée au Vatican.

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

ค้นพบหนทางของชีวิตด้วยตนเอง









หลายครั้งที่คนเราอาจจะสับสนในชีวิต...เหนื่อยท้อ...เป็นเรื่องธรรมดา...บางทีเรารู้สึกเหนื่อยกับเรื่องต่างๆในชีวิตจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป...หนทางเหมือนกับยิ่งเดินยิ่งห่างไกล...เราควรจะไปต่อดีไหม...ไปต่ออย่างไรแล้วถ้าไปถึงจะเป็นอย่างไร จะคาดหวังสิ่งใด ถ้าไม่ได้ตามที่หวังเราจะเป็นอย่างไร...บางทีสิ่งต่างๆรอบตัวดูเหมือนจะหยุดหมุนอยู่กับที่แต่บ้างครั้งแล้วก็ดูเหมือนผ่านไปเร็วจนตั้งตัวไม่ติด...กับบางคนอาจจะเจอกับปัญหาชีวิตที่เลวร้ายอย่างมาก แต่กับบางคนอาจจะเจอกับความสุขแบบชนิดที่ว่า"เหมือนกับความฝัน"...บางทีสิ่งที่เราคิดว่ามันง่ายก็ไม่ได้ง่ายเสมอไป...ทุกอย่างมีอะไรที่ไม่ได้คาดคิดเกิดขึ้นเสมอ...แต่ทุกครั้งคนเราก็จะต้องรู้จักคำว่าอดทน รอคอย และความหวัง เชื่อมั่นในตนเองอยู่เสมอแม้จะเจออะไรที่รุนแรงแค่ไหน ทุกคนก็คงต้องสู้ต่อไป


เรียนพิเศษ...ณ.ราชินี



เรียนพิเศษที่โรงเรียน...555+จะว่าไปก็ได้ความรู้นะ แต่ต้องตื่นตอนเช้ามาเรียนวันเสาร์นี่ซิยากกว่า...555+(ง่วงมากๆ)แต่ละคนก็เล่นก็คุยกันบ้างแต่ก็ตั้งใจกันดี(บางทีก็เสียงเจี๊ยวจ๊าวมากมายเหมือนกัน^___^)....ทำให้เราเบื่อขี้หน้าเพื่อนไปเลย(บางคนยังต้องไปเจอกันวันอาร์ทิตย์อีกนะ555+)เรียนช่วงม.5รู้สึกงานจะน้อยลงแต่กิจกรรมเยอะมาก...เราเลยไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่...ช่วงนี้ต้องเรียนหนักเพราะเนื้อหาออกจะงงๆเหมือนกัน อังกฤษหลักเรียนไม่ค่อยเข้าใจเลย...เออ..ใช่วันนี้เพิ่งสอบวิชาฝรั่งเศสไป..ยากมากๆๆๆ...555+

ป.ล.อยากเข้าธรรมศาสตร์จังเลย

ดาวฤกษ์


ดาวฤกษ์ (ภาษากรีก astron) คือ วัตถุท้องฟ้าในอวกาศที่เป็นก้อนแก๊สมวลมหาศาล ดาวฤกษ์ปรากฏเป็นจุดแสงในท้องฟ้าเวลากลางคืน เราเห็นแสงดาวกะพริบ จากผลของปรากฏการณ์ในบรรยากาศโลก และการที่ดาวฤกษ์อยู่ห่างไกลจากเรามาก ยกเว้นกรณีของดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นดาวฤกษ์ดวงเดียวที่อยู่ใกล้โลกมาก จนปรากฏเป็นดวงกลมโตให้แสงสว่างในเวลากลางวัน
ดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้โลกมากที่สุดยกเว้นดวงอาทิตย์ คือ ดาวพร็อกซิมาคนครึ่งม้า อยู่ห่าง 39.9 ล้านล้านกิโลเมตร = 4.2 ปีแสง = 1.29 พาร์เซก หมายความว่าแสงจากดาวพร็อกซิมาคนครึ่งม้าใช้เวลาเดินทาง 4.2 ปี จึงมาถึงโลก
นักดาราศาสตร์ประมาณว่ามีดาวฤกษ์อย่างน้อย 7 × 1022 ดวงในเอกภพ หรือ 70,000,000,000,000,000,000,000 ดวง มากกว่า 230,000 ล้านเท่าของดาวฤกษ์ 300,000 ล้านดวงในดาราจักรทางช้างเผือกของเราเอง
ดาวฤกษ์จำนวนมากมีอายุระหว่าง 1,000 - 10,000 ล้านปี บางดวงมีอายุเกือบ 13,700 ล้านปี ซึ่งเป็นอายุโดยประมาณของเอกภพ (ดู ทฤษฎีบิกแบงและวิวัฒนาการของดาวฤกษ์) ดาวฤกษ์มีขนาดตั้งแต่เล็กกว่าเมืองๆ หนึ่งอย่างดาวนิวตรอน (ซึ่งอาจกล่าวว่าเป็นดาวที่ตายแล้ว) ไปจนถึงดาวยักษ์ใหญ่อย่างดาวเหนือ (ดาวโพลาริส) และดาวบีเทลจุสในกลุ่มดาวนายพราน ที่มีขนาดประมาณ 1,000 เท่าของดวงอาทิตย์ อย่างไรก็ตาม ดาวขนาดใหญ่จะมีความหนาแน่นน้อยกว่าดวงอาทิตย์มาก ดาวฤกษ์ที่มีมวลสูงที่สุดดวงหนึ่ง คือ ดาวอีตากระดูกงูเรือ มีมวล 100-150 เท่าของมวลดวงอาทิตย์
วิทยาศาสตร์นิยามว่าดาวฤกษ์ คือ ทรงกลมพลาสมาที่คงอยู่ได้ด้วยความโน้มถ่วงของตัวเอง มีความสมดุลของความดัน (hydrostatic equilibrium) ผลิตพลังงานด้วยกระบวนการการหลอมนิวเคลียส พลังงานที่เกิดขึ้นในดาวฤกษ์แผ่ไปในอวกาศโดยการแผ่รังสีแม่เหล็กไฟฟ้า (ส่วนใหญ่เป็นแสงสว่างที่มองเห็นได้) อยู่ในรูปของกระแสนิวตริโน ความสว่างปรากฏของดาวฤกษ์บอกด้วยโชติมาตรปรากฏ ดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดที่เห็นปรากฏบนท้องฟ้าโดยไม่นับดวงอาทิตย์ คือ ดาวซิริอุส หรืออีกชื่อคือดาวโจร อยู่ในกลุ่มดาวสุนัขใหญ่ ส่วนดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดที่มองไม่เห็นเคยเชื่อว่าคือดาวปืน แต่ในปัจจุบันพบว่ามีดาวLBV 1806-20ที่สว่างมากกว่า
ดาราศาสตร์ดาวฤกษ์ คือ การศึกษาดาวฤกษ์และปรากฏการณ์ในรูปแบบและช่วงต่างๆ ของวิวัฒนาการของดาว ดาวฤกษ์จำนวนมากผูกยึดด้วยแรงโน้มถ่วงกับดาวฤกษ์ดวงอื่น ทำให้เกิดดาวคู่ หากมีดาวจำนวนมากในระบบเดียวกันเรียกว่ากระจุกดาว ดาวฤกษ์ไม่ได้กระจัดกระจายไปทั่วทุกพื้นที่ของเอกภพ แต่รวมกลุ่มกันเป็นดาราจักร (กาแล็กซี) โดยทั่วไปแต่ละดาราจักรมีดาวฤกษ์หลายแสนล้านดวง

Étoile


Une étoile est un objet céleste émettant de la lumière de façon autonome, semblable à une énorme boule de plasma comme le Soleil, qui est l'étoile la plus proche de la Terre.
La masse d'une étoile est de quelque 1030 kilogrammes (dix milliards de milliards de milliards de milliards de tonnes) et son rayon de l’ordre du million de kilomètres.
Un tel astre rayonne de l’énergie par nucléosynthèse (fusion nucléaire) : la puissance rayonnée par une étoile comme le Soleil est de l’ordre de 1026 watts (cent millions de milliards de milliards de watts).
Lors d'une nuit claire, de nombreuses étoiles sont visibles dans le ciel comme autant de points lumineux et fixes.










Observation




La nuit, les étoiles, du fait de leur éloignement, apparaissent à l’œil nu sous la forme de points brillants — généralement scintillants du fait de la turbulence atmosphérique et sans mouvement apparent immédiat par rapport aux autres objets fixes du ciel. Le jour, le Soleil domine ; l'astre le plus brillant visible depuis la Terre est également une étoile.
Le Soleil semble beaucoup plus gros que toutes les autres étoiles car celles-ci sont bien plus éloignées : l’étoile la plus proche de la Terre après le Soleil, Proxima du Centaure est située à environ quatre années-lumière de nous, soit près de 250 000 fois la distance qui nous sépare du Soleil.
Si le nombre d’étoiles observables la nuit à l’œil nu et par temps clair varie entre une centaine et plusieurs milliers selon les conditions d’observation, l'estimation du nombre d'étoiles dans l'univers oscille entre 1022 et 1023 [1]. À part le Soleil, Sirius — dans d’excellentes conditions d’observation — et quelques supernovae, les étoiles sont trop peu brillantes pour être observables en plein jour (sauf lors des éclipses totales de Soleil).




วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

I Wanna Love You By Akon feat.Snoop Dogg















[Akon:] Convict...Music...and you know we a front.[Chorus: Akon]I see you windin n grindin up on that pole,I kno u see me lookin' at you and you already kno

I wanna love you, you already knowI wanna love you, you already know

[Snoop Dogg]Money in the air as mo feel grad you by your coat tail take you to the motel, hoe sale,dont tell, wont tell, baby said I dont talk dogg but she told on me, oh well,take a picture wit me, what the flick gon do, baby stick to me & ima stick on u,if u pick me then ima pick on you, d-o-double g and im here to put this dick on you,I'm stuck on pussy n urs is right, wrip ridinin them poles and them doors is tightand ima get me a shot for the end of the night cuz pussy is pussy and baby ur pussy for life.

[Chorus: Akon]I see you windin n grindin up on that pole,I kno u see me lookin' at you and you already knoI wanna love you, you already knowI wanna love you, you already know

[Akon]Shorty I can see u aint lonely handfull of niggas n they all got cheese,so u lookin at me now whats it gonna be just another tease far as I can see,tryin get u up out this club if it means spendin' a couple dubs,throwin bout 30 stacks in the back make it rain like that cuz I'm far from a scrub,u kno my pedigree, ex-deala use to move phetamines,girl I spend money like it dont mean nuthin n besides I got a thing for u.

[Chorus: Akon]I see you windin n grindin up on that pole,I kno u see me lookin' at you and you already knoI wanna love you, you already knowI wanna love you, you already know[Snoop Dogg]Mobbin' through club in low pressin im sittin in the back in the smokers section (just smokin),birds eye, I got a clear view, you cant see me but I can see u (baby I see u),its cool we jet the mood is set,your pussy is wet u rubbin your back and touchin your neck,ur body is movin' u humpin' n jumpin' ur titties is bouncin' u smilin' n grinin' n lookin at me.

[Akon]Girl n while your looking at me im ready to hit the caddy right up on the patio move the patty to the caddy,baby u got a phatty the type I like to marry wantin to just give u everythin n thats kinda scary,cuz I'm lovin the way you shake your ass , bouncin', got me tippin' my glass,normally dont get caught up to fast but I got a thing for you.[Chorus: Akon]I see you windin n grindin up on that pole,I kno u see me lookin' at you and you already knoI wanna love you, you already knowI wanna love you, you already know[Chorus: Akon]I see you windin n grindin up on that pole,I kno u see me lookin' at you and you already knoI wanna love you, you already knowI wanna love you, you already knowgirl...

วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

จิ๊กซอว์ต่อความสุขและมิตรภาพ



Cool Slideshows!

ก้อไปงานวันเกิดไพลินเพือนรักมา555+ร้องคาราโอเกะกันใหญ่เลยล่ะ55+สนุกมากอาหารก้ออร่อย...บรรยากาศก้อดีแล้ก้อบ้าถ่ายรูปกันมากๆๆๆ

รู้สึกสนุกจิงๆต้องรีบกลับนน่าเสียดายมาก...(เค้กอร่อยมาก)

วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

โลกร้อน...พาโลกมนุษย์...ย้อนกลับสู่โลกไดโนเสาร์


"โลกร้อน"พาโลกมนุษย์ ย้อนกลับสู่ยุคไดโนเสาร์!

คริส โทมัส นักวิทยาศาสตร์สังกัดมหาวิทยาลัยยอร์ก กล่าวในที่ประชุมสมาคมเพื่อความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ ประเทศอังกฤษ ว่า สภาพภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง หรือ "ภาวะโลกร้อน" จะทำให้อุณหภูมิของโลกภายในห้วงระยะเวลาอีกประมาณ 100 ปีข้างหน้า หรือปี ค.ศ.2100 (พ.ศ.2643) เพิ่มสูงขึ้นกว่าปัจจุบันอีก 2-6 องศาเซลเซียส
ขณะเดียวกันคาดว่าปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ ก็จะพุ่งขึ้นไปอยู่ในระดับที่สุดที่สุดในรอบ 24 ปีเช่นกัน "ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ส่วนใหญ่ถูกปล่อยออกมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงในโรงงานและยานพาหนะ จะกลายเป็นตาข่ายดักไม่ให้ความร้อนหลุดออกจากชั้นบรรยากาศโลก" โทมัสกล่าว
โทมัสระบุด้วยว่า สภาพโลกร้อนใน 100 ปีข้างหน้าจะทำให้อุณหภูมิของโลกย้อนกลับไปสู่ยุคที่ "ไดโนเสาร์" ยังมีชีวิตอยู่ นอกจากนั้นยังจะส่งผลให้สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ต่างๆ กว่าครึ่งหนึ่งที่อยู่ในโลกเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
ล่าสุดมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่า สายพันธุ์สิ่งมีชีวิตบางส่วนเริ่มอพยพหนีจากถิ่นที่อยู่เดิมของตน เพราะผลกระทบจากโลกร้อน

Cry By mandy moore





















I'll Always Remember It Was Late Afternoon It Lasted ForeverAnd Ended Too Soon

You Were All By Yourself Staring Up At A Dark Gray SkyI Was Changed

In Places No One Would Find All Your Feelings So Deep Inside Deep Inside It Was Then That I Realized That Forever Was In Your Eyes The Moment I Saw You Cry The Moment That I Saw You Cry

It Was Late In September And I've Seen You Before And You Were You Were Always The Cold One But I Was Never That Sure

You Were All By Yourself Staring At A Dark Gray SkyI Was Changed

In Places No One Would FindAll Your Feelings So Deep Inside Deep Inside It Was Then That I RealizedThat Forever Was In Your Eyes The Moment I Saw You Cry

I Wanted To Hold You I Wanted To Make It Go Away I Wanted To Know You I Wanted To Make Your Everything All Right

I'll Always Remember It Was Late Afternoon In Places No One Would Find

In Places No One Would Find All Your Feelings So Deep Inside Deep Inside It Was Then That I RealizedThat Forever Was In Your EyesThe Moment I Saw You Cry

วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2550





Quand Maurice Fleuret devient Directeur de la Musique et de la Danse en octobre 1981, à la demande de Jack Lang, il applique ses réflexions sur la pratique musicale et son évolution : "la musique partout et le concert nulle part". Découvrant en 1982, à l'occasion d'une étude sur les pratiques culturelles des français, que cinq millions de personnes dont un jeune sur deux, jouent d'un instrument de musique, il se prend à rêver de faire descendre les gens dans la rue.
Et c'est ainsi, en quelques semaines, que la Fête de la Musique est lancée, le 21 juin 1982, jour du solstice d'été, nuit païenne se référant à l'ancienne tradition des fêtes de la Saint-Jean.
"Faites de la musique, Fête de la Musique", la formule devenue mot d'ordre n'avait rien du slogan. Cette mobilisation des musiciens professionnels et amateurs, cette attention nouvelle portée à tous les genres musicaux, devenaient ainsi, à travers la réussite immédiate d'une manifestation populaire et largement spontanée, la traduction d'une politique qui entendait accorder leur place aux pratiques amateur ainsi qu'au rock, au jazz, à la chanson et aux musiques traditionnelles, aux côtés des musiques dites sérieuses ou savantes.La gratuité des concerts, le soutien de la SACEM, le relais des médias, l'appui des collectivités territoriales et l'adhésion de plus en plus large de la population, allaient en faire, en quelques années, une des grandes manifestations culturelles françaises.
Fête de la Musique / Faites de la Musique 21 juin
> Les grandes lignes de la Fête de la Musique, les faits marquants qui ont jalonnés l’événement depuis sa création en 1982, ainsi qu’un mode d’emploi dans une fiche « mesure pour mesure » éditée par la Direction de la Musique, de la Danse, du Théâtre et des Spectacles.
>
Télécharger la fiche : (document PDF)
Elle commence à " s'exporter " en 1985, à l'occasion de l'Année européenne de la Musique. En moins de quinze ans, la Fête de la Musique sera reprise dans plus de cent pays, sur les cinq continents.
Si sa dimension européenne reste la plus visible, maintenant que Berlin, Budapest, Barcelone, Istanbul, Liverpool, Luxembourg, Rome, Naples, Prague, la Communauté Française de Belgique, Santa Maria da Feira... ont signé une "charte des partenaires de la Fête européenne de la Musique", la Fête s'est développée à San Francisco, à New-York, à Manille, et est pratiquement devenue fête nationale dans de nombreux pays du continent africain, sans parler du Brésil ou de la Colombie.
Succès international, phénomène de société (un timbre poste lui est consacré en 1998), la Fête est aussi porteuse des nouvelles tendances musicales, que souvent elle annonce, que toujours elle traduit: renouveau des musiques traditionnelles, explosion des musiques du monde, développement des chorales, apparition du rap, de la techno, retour au carnaval musical...
Sa réussite visible en centre-ville occulte bien d'autres dimensions : elle entre dans les prisons, partage la vie des malades et du personnel à l'hôpital, rapproche les établissements scolaires et les écoles de musique, établit des liens et des échanges entre la ville et la banlieue, irrigue les communes rurales, valorise le travail de plusieurs mois ou de toute une année d'un individu, d'un groupe, d'une association ou de toute une communauté. Sans être jamais instrumentalisée, la Fête de la Musique favorise ainsi naturellement la démocratisation de l'accès aux pratiques artistiques et culturelles.
La réussite de la Fête est d'abord celle des multiples réseaux qui s'activent en prévision du 21 juin. Ils peuvent être institutionnels, comme les Théâtres Lyriques, les Orchestres nationaux et régionaux, les Ensembles de musique de chambre, les Conservatoires, les Ecoles de musique..., professionnels comme les Scènes de Musiques Actuelles (SMAC) et Cafés Musique ou les Antennes du Printemps de Bourges.
A cette occasion, les grandes fédérations amateurs mobilisent leurs relais dans toute la France qu'il s'agisse de la Confédération Musicale de France pour les Fanfares, les Harmonies et la pratique amateur en général ou de A Coeur Joie pour les Chorales. Les équipements sociaux et culturels, les associations locales aident à révéler les nouvelles expressions musicales. La vitalité de la Fête compte aussi avec les énergies de tous les " volontaires " qui se mobilisent individuellement pour apporter à cette journée exceptionnelle sa part fondamentale de spontanéité, son allure de transgression joyeuse.En l'espace d'une génération, la Fête manifeste ainsi sa capacité permanente à se réinventer, ingénieuse et vivace, issue de l'institution, mais ayant choisi - comme la chanson - de vivre sa vie dans la rue.

Hey!!Guys...Welcome to My life and My style yo!!

สวัสดีค้า...ทุกๆคนนี่เป็นการสร้างบล็อกครั้งแรกเลยนา...คิดว่าทุกคนคงมีบล็อกสวยๆกันแล้วนา^__^

Me..My self

My name is Piyawadee...nice to meet u...U can call me Yia 55+ now I'm 17 years old.I'm studying in Grade 11
or m.5Rachineeburana nakhonpathom School.It's so hard for me 55+but I will try study hard for myself and my family... ^______^Let's Go Yia^^

สหรัฐอเมริกา


สหรัฐอเมริกา (United States of America) เป็นสหพันธรัฐประชาธิปไตย ปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญ ประกอบไปด้วยมลรัฐ 50 มลรัฐ ตั้งอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ มีพรมแดนต่อกับประเทศแคนาดาและเม็กซิโก ส่วนพรมแดนทางทะเลนั้นติดต่อกับประเทศแคนาดา รัสเซียและบาฮามาส โดยมีมหาสมุทรแปซิฟิก ทะเลแบริง มหาสมุทรอาร์กติก มหาสมุทรแอตแลนติก อ่าวเม็กซิโก และทะเลแคริบเบียนเป็นผืนน้ำล้อมรอบ

สหรัฐอเมริกาเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญของโลก และเป็นอภิมหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียวของโลกในยุคปัจจุบันทั้งในด้านการทหารและเศรษฐกิจซึ่งรวมไปถึงในด้าน วิทยาศาสตร์ การศึกษา การกีฬา และบันเทิง


Les États-Unis d’Amérique sont une république fédérale constituée de 50 États fédérés. Quarante-huit de ces cinquante États sont situés au sud du
Canada et au nord du Mexique. L’Alaska est située à l'ouest du Canada. Hawaii est dans l'océan Pacifique, à 3 900 km au sud-ouest de la Californie.
Washington, D.C. (ou District of Columbia) est la capitale fédérale du pays, avec un statut spécial (ce n'est pas un État et le district n'est pas non plus membre d'un État fédéré). D'autres territoires ont des statuts spécifiques, notamment des États (anciennes colonies) qui ne sont pas membres de droit de la fédération, mais qui sont en pratique intégrés : les Samoa américaines, Guam, les îles Mariannes du Nord, Porto Rico et les îles Vierges américaines.
Les États-Unis comptent plus de 300 millions d'habitants, nombre dépassé le
17 octobre 2006.
Les États-Unis sont membres de l'
OTAN, de l'ALENA, de L'ANZUS, du G8, et membres permanents du Conseil de sécurité des Nations unies.

Rock 'n' roll et Historique


Le rock ’n’ roll (pour rock and roll), ou simplement rock, est un genre musical qui mêle le blues noir et le rythm and blues en premier lieu, avec une culture blanche marquée par la musique country notamment. Le rock devient par la suite une véritable philosophie avec sa cohorte culturelle, du cinéma aux bandes dessinées en passant par la mode vestimentaire.


La naissance (américaine) du rock


Le rock'n'roll est un « enfant » du blues, le rythme ternaire (division du temps) de celui-ci étant remplacé par un rythme binaire et le tempo devenant plus soutenu. Il convient ici de distinguer rhythm and blues et rock'n'roll, même si la tâche apparaît délicate de la fin des années 1940 à 1954. Citons ici Fats Domino qui fait du rock'n'roll dès 1948 sans le savoir. Ike Turner prétend lui aussi avoir interprété le premier rock Rocket 88 en 1951. L'étiquette rock'n'roll a, dans un premier temps, été utilisée pour distinguer le rhythm and blues des noirs de celui des blancs et ce pour des raisons liées à la politique raciale de l'époque. Il était inadmissible que des artistes blancs se retrouvent dans les mêmes bacs chez les disquaires que les noirs. Le style particulier du rhythm and blues blanc a donc servi de prétexte pour une nouvelle étiquette « rock n roll ».
En
1951, le disc jockey Alan Freed anime une émission appelée Moondog's Rock And Roll Party. C'est la première diffusion du rock'n'roll à une large audience. C'est ce DJ radio qui trouve son nom au Rock'n'Roll en reprenant une expression que l'on retrouve depuis les années 1940 dans certaines chansons de rhythm and blues et qui signifie en argot « faire l'amour ». Alan Freed est le premier DJ blanc à soutenir avec force des artistes noirs jouant la « musique du diable ». La bonne société américaine en fera son « ennemi numéro 1 » et aura d'ailleurs sa peau en 1959.
Le terme
rockabilly désigne la première forme historiquement identifiable de rock'n'roll, il s'agit essentiellement d'un croisement de rhythm and blues et de musique country. Elvis Presley et Bill Haley sont deux précurseurs chez les chanteurs blancs. Elvis Presley, surnommé The King (« Le Roi du Rock and Roll »), enregistre ce qui est probablement l'un des tout premiers morceaux de rockabilly avec That's Alright Mama et collectionnera très rapidement les succès, mais c'est Bill Haley and The Comets qui signent officiellement l'acte de naissance du rock'n'roll pour de nombreux historiens avec le titre Rock Around the Clock (une reprise de Sonny Dae and His Knights, 1952). Ce premier tube de l'histoire du « rock » qui figure au générique du film Graine de violence est N°1 des hit-parades aux USA (8 semaines) et au Royaume-Uni (3 semaines) en 1955. Buddy Holly, Jerry Lee Lewis, Eddie Cochran et autres Gene Vincent s'engouffrent dans la brèche. Les musiciens noirs restent très actifs avec Chuck Berry tout particulièrement. N'oublions pas Little Richard, qui sur son premier 45 tours, signe quatre des plus grands standards de rock, à savoir : Tutti Frutti, Long Tall Sally, Rip It Up et Ready Teddy.
Le rock'n'roll provoque un mouvement de rejet de la bonne société américaine qui croit avoir triomphé de ce mouvement en
1959. On annonce alors la mort du rock et il est vrai qu'aux États-Unis, le mouvement semble s'essouffler. Les chanteurs sont désormais très consensuels et Elvis est institutionnalisé, cantonné aux ballades. Le rock'n'roll continue cependant de se développer sous des formes plus locales et confidentielles comme la surf music de la côte ouest ou le rock garage au nord.
Vers la fin des
années 1950, et le début des années 1960, on entend de plus en plus de titres de rock'n'roll plus « sages », plus « doux » et qui vont engendrer la musique pop : The Everly Brothers - All I Have To Do Is Dream (1958), le rock'n'roll Beat de the Weaver Temptations- Ouh ! Ah ! Temptations ! (1959), Johnny Burnette (en)- Dreamin' et You're Sixteen (composée par les Frères Sherman) (1960) Del Shannon (en) - Runaway ((en)) (1961), Brian Hyland (en) - Sealed With A Kiss (1962), Lee Dorsey (en) - Ya ya (1962), etc.
Le « pur » rock'n'roll/rockabilly tend à disparaître, hormis quelques rares titres comme
Roy Orbison - (Oh !) Pretty Woman (1964) et Sam the Sham & the Pharaohs - Wooly Bully (1965)...

La renaissance (britannique) du rock [modifier]
La réplique ne vient pas d'Amérique mais du
Royaume-Uni. Les premiers émules d'Elvis apparaissent comme Cliff Richard et de petites formations se multiplient pour les imiter. Au passage cependant, le rock'n'roll s'acclimate et les Shadows qui accompagnent Cliff Richards initient l'archétype de la formation rock telle qu'elle sera reprise aussi bien en Europe que de l'autre côté de l'Atlantique : la contrebasse disparaît au profit de la basse électrique, deux guitaristes se répartissent les tâches de la rythmique pour le premier et des chorus pour le second. Les groupes britanniques s'éloignent ainsi rapidement de leur modèle américain pour créer une musique originale que les francophones appellent le « rock anglais ». Les Beatles accentuent le travail sur la mélodie et les harmonies vocales et donnent naissance à la musique pop tandis que le mouvement du british blues boom retourne aux racines blues, privilégiant des rythmes syncopés et des sonorités plus agressives. Les Rolling Stones émergent comme le fer de lance de ce rock britannique. Des branches parallèles se multiplient alors que des groupes tels que les Who et les Kinks développent le mouvement mod, tandis que les Animals ou les Yardbirds créent un blues rock britannique. La richesse de la création britannique est florissante et impose définitivement au niveau mondial un genre musical qui devient emblématique de la seconde moitié du XXe siècle. Le rock se ramifie alors presque à l'infini en explorant des niches apparemment improbables. Le jazz-rock, pour ne citer que lui, naît de cette recherche entamée dès les années 1960.
Si les
années 1950 proposaient une scène commune pour artistes noirs et blancs, les années 1960 mettent fin à cette mixité. La scène rock britannique est logiquement blanche, tandis que les noirs américains adaptent à leur sauce la redécouverte britannique de l'importance de la mélodie. S'appuyant sur les anciennes structures ségrégationnistes, ils mettent au monde une branche importante de l'arbre généalogique du rock englobant ce qu'il convient de qualifier de « dance music », du funk au rap en passant par la pop de la Tamla des années 1960. Conséquence de ce cloisonnement, les rockers noirs sont rares dans l'autre grande famille du rock post-Beatles. Citons toutefois Jimi Hendrix, guitariste de génie, qui électrifie son blues et ouvre au rock (blanc) d'autres univers.

Le rock devient contestataire [modifier]

Bob Dylan et Joan Baez en 1963
Si le rock'n'roll a toujours été porté par une jeunesse trop à l'étroit dans le carcan moral de ses ainés, les textes jusqu'aux années 1960 étaient souvent confinés aux thèmes festifs éventuellement chargés de connotations sexuelles. C'est avec
Bob Dylan que les paroles prennent une tournure à la fois plus poétique et plus engagée. Mariant poésie surréaliste à l'engagement du mouvement folk (Woodie Guthrie puis Joan Baez, Pete Seeger), il devient le chroniqueur de sa génération, abordant sans complaisance des thèmes politiques et sociaux. Son impact sera décisif des deux côtés de l'Atlantique. Aux États-Unis, les protest songs expriment le rejet de la guerre froide ou de l'engagement militaire au Vietnam tandis qu'au Royaume-Uni, John Lennon livre des textes plus personnels et recherchés. Le rock devient à la fois un mouvement artistique, qui acquiert une légitimité intellectuelle, et un courant de « contre-culture ». Cette tendance connaît son apogée avec les grands festivals de la fin des années 1960 : à Woodstock, à Altamont ou sur l'Île de Wight des centaines de milliers de jeunes se rassemblent pour partager à la fois une passion pour la musique mais également une vision du monde en rupture avec les normes établies.

ดนตรีป็อป

ดนตรีป็อป (pop music) หรือ เพลงป็อป (pop song) เป็นแนวเพลงที่มีลักษณะโมโลดี้ง่ายๆ โครงสร้างเพลงไม่สลับซับซ้อน โดยอาจจะรวมเพลงหลายๆแนวอย่าง ร็อก, ฮิปฮอป, เร้กเก้, แด๊นส์, อาร์แอนด์บี, ฟังค์ หรือแม้แต่โฟล์ก
เพลงป็อปจะถูกแต่งขึ้นเพื่อหวังกลุ่มคนฟังกลุ่มใหญ่โดยได้แรงผลักดันจากค่ายเพลงใหญ่ เริ่มจากในดนตรีประเภท Ragtime จากนั้น Ragtime เริ่มมาทางสวิง จากนั้นก็เป็นดนตรี
แจ๊สที่สามารถเต้นรำได้ ดนตรีป็อปสามารถรวมได้ถึงบลูส์ที่มีต้นกำเนิดจากคนผิวดำในอเมริกา และดนตรีคันทรีที่เริ่มปรับจนกลายเป็นแนว Rockabilly (เพลงร็อกแอนด์โรลล์ยุคแรก)
ในยุค 50 เพลง
ร็อกแอนด์โรลล์ได้รับความนิยม มีศิลปินที่ได้รับความนิยมอย่างเอลวิส เพรสลีย์ ต่อมาในยุค 60 เป็นยุคของทีนไอดอลอย่างวง เดอะ บีทเทิลส์, เดอะ บีชบอยส์, คลิฟ ริชาร์ด, โรลลิ่ง สโตนส์, แซนดี ชอว์ เป็นต้น
ในยุค 70 เป็นยุคของดนตรี
ดิสโก้ มีศิลปินอย่าง แอบบ้า, บีจีส์ และยังมีดนตรีประเภทคันทรีที่ได้รับความนิยมอย่าง เดอะ อีเกิลส์ หรือดนตรีป็อปที่ได้รับอิทธิพลจากร็อกอย่าง เดอะ คาร์เพ็นเทอร์ส, ร็อด สจ๊วต, แครี ไซม่อน, แฌร์ เป็นต้น
ในยุค 80 มีศิลปินป็อปที่ได้รับความนิยมอย่าง
ไมเคิล แจ็คสัน, มาดอนน่า, ทิฟฟานี, เจเน็ท แจ็คสัน‎, ฟิล คอลลินส์, แวม ลักษณะดนตรีจะมีการใส่ดนตรีสังเคราะห์เข้าไป เพลงในยุคนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงเต้นรำและยังมีอิทธิพลถึงทางด้านแฟชั่นด้วย
ในยุค 90 เริ่มได้อิทธิพลจากเพลงแนว
อาร์แอนด์บี เช่น มารายห์ แครี, เดสทินี ไชลด์, บอยซ์ ทู เม็น, เอ็น โวค, ทีแอลซี ในยุคนี้ยังมีวงบอยแบนด์ที่ได้รับความนิยมอย่าง นิว คิดส์ ออน เดอะ บล็อก, เทค แดท, แบ็คสตรีท บอยส์
ในยุค 2000 มีศิลปินที่ประสบความสำเร็จอย่าง
คริสติน่า อากีเลร่า, บียอนเซ่, แบล็ค อายด์ พีส์, จัสติน ทิมเบอร์เลค ส่วนเทรนป็อปอื่นเช่นแนว ป็อป-พังค์ อย่างวง ซิมเปิ้ล แพลน, เอฟริล ลาวีน รวมถึงการเกิดรายการสุดฮิต อเมริกัน ไอดอลที่สร้างศิลปินอย่าง เคลลี่ คลาร์กสัน และ เคลย์ ไอเคน แนวเพลงป็อปและอาร์แอนด์บีเริ่มรวมกัน มีลักษณะเพลงป็อปที่เพิ่มความเป็นอาร์แอนด์บีมากขึ้นอย่าง เนลลี เฟอร์ตาโด, ริฮานนา, จัสติน ทิมเบอร์เลค เป็นต้น